Back to news

25 July 2025

‘มิติวัฒนธรรมกับโลกร้อนในชุมชนเมือง’

(For English, please scroll down)

‘มิติวัฒนธรรมกับโลกร้อนในชุมชนเมือง’

อบรมเยาวชนภายใต้โครงการ ‘ความเป็นธรรมสภาพภูมิอากาศในมิติวัฒนธรรมของชุมชนเมือง’ โดย ดร. กฤษฎา บุญชัย เลขาธิการ สถาบันชุมชนท้องถิ่นพัฒนา และคุณจารุณี คงสวัสดิ์ ผู้จัดการแผนกพิทักษ์มรดกสยาม สยามสมาคมในพระบรมราชูปถัมภ์

วันที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2568 ณ สยามสมาคมในพระบรมราชูปถัมภ์

คุณกฤษฎาเริ่มต้นด้วยการชวนสังเกตความเป็น “เมือง” ซึ่งในปัจจุบันมีสัดส่วนพื้นที่สีเขียวอยู่น้อยลงเรื่อยๆ เมืองเต็มไปด้วยสิ่งก่อสร้างคอนกรีตที่ไม่เอื้อต่อการระบายความร้อนระอุ “เมือง” กลายเป็นแหล่งรวมมลพิษมากมายที่เกิดขึ้นจากกิจกรรมต่างๆ ในชีวิตประจำวันของผู้คน แม้ว่า “เมือง” จะมีหนทางรับมือผลกระทบที่เกิดขึ้นโดยการจัดการสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ แต่ในความเป็นจริง เราแก้ปัญหาอากาศที่ร้อนระอุทุกวันนี้ด้วยการเร่งกำลังเครื่องปรับอากาศ ไม่ใช่การพึ่งพาอาศัย “ธรรมชาติ” ในเมืองที่ถูกจัดระเบียบ ควบคุม ตัดแต่ง และปกคลุมพื้นผิวด้วยคอนกรีตที่ก่อขึ้นรอบต้นไม้และคูคลองที่ขับเน้นให้มนุษย์และธรรมชาติยิ่งดูตัดขาดและแปลกแยกต่อกัน

ยกตัวอย่างเช่น  “คลองแสนแสบ” จากระบบชลประทานสำคัญของพื้นที่ทุ่งบางกะปิในอดีต สู่การกลายเป็นแหล่งระบายน้ำเสียที่เราไม่คิดเหลียวมองแม้แต่เมื่อต้องสัญจรผ่าน พื้นที่สีเขียวที่หายไปพร้อมๆ กับความหลากหลายทางชีวภาพ เช่น นก และสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ที่สูญหายไปจากพื้นที่อโศกนานมากแล้ว วิถีชีวิตที่แยกขาดจากธรรมชาติ คนเมืองในปัจจุบันสังเกตถึงความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ในแบบที่แตกต่างกันไป

คุณกฤษฎายังอ้างผลการศึกษาที่แสดงว่ากรุงเทพมหานครเป็นเมืองที่มีปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกโดยเฉลี่ยต่อคนต่อปีสูงกว่าค่าเฉลี่ยของเมืองใหญ่ๆ และสูงกว่าค่าเฉลี่ยของโลกเสียอีก ไม่เพียงเท่านั้น กรุงเทพมหานครกำลังเผชิญความเสี่ยงสูงจากอุทกภัยที่เกิดจากระดับน้ำทะเลเพิ่มสูงขึ้น แผ่นดินยุบตัว และคลื่นความร้อนสูง แต่ด้วยความเหลื่อมล้ำที่มีอยู่ในเมืองทำให้ผู้คนรับรู้และเข้าใจ ‘โลกร้อน’ ในแบบที่ต่างกัน ได้รับผลกระทบจากภาวะโลกร้อนไม่เท่ากัน กลุ่มอาชีพบางกลุ่มต้องเผชิญความร้อนที่สูงขึ้นในแต่ละวันโดยตรง แต่กลับมีความเปราะบางที่ไม่อาจเลือกหนทางอื่นและปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตได้ยาก อีกทั้งมักถูกมองข้ามในกระบวนการตัดสินใจ ความเหลื่อมล้ำในการเผชิญกับภาวะโลกร้อนจึงสะท้อนโครงสร้างวัฒนธรรมของอำนาจ

พื้นที่ “เมือง” เป็นที่กระจุกตัวของผู้คนที่หนาแน่นและหลากหลาย แต่คนกลับมีความสัมพันธ์ต่อกันเพียงผิวเผิน ความสัมพันธ์แบบเครือญาติลดบทบาทลง แทนที่ด้วยวิถีชีวิตแบบ “ต่างคนต่างอยู่” หวังเพียงว่าวัฒนธรรมเมืองจะเพิ่มขีดความสามารถในการปรับตัวด้วยการรวมกลุ่มของชุมชน วิชาชีพ ผู้คนที่มีภูมิหลังทางด้านศาสนาหรือประวัติศาสตร์ร่วมกัน อาจนำมาซึ่งพลังของการช่วยเหลือกัน ก่อให้เกิดพลังสร้างสรรค์ที่ช่วยให้เรารับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้ คุณกฤษฎาฝากไว้ว่าหากเราอยากสร้างวัฒนธรรมเมืองที่มีการเรียนรู้ร่วมกัน ต้องหาวิธีที่จะประสานผู้คนเข้าด้วยกันท่ามกลางความหลากหลายและแตกต่าง โครงการที่กำลังดำเนินไปนี้จึงเป็นส่วนหนึ่งที่พยายามนำเรื่องราวออกมาสื่อสารเพื่อสร้างความตื่นตัวในประเด็นนี้แก่คนเมือง

สำหรับคุณจารุณี เปิดประเด็นว่า มิติวัฒนธรรมเป็นสิ่งที่ครอบคลุมกว้างขวาง และเมื่อเชื่อมโยงกับเรื่องโลกร้อนแล้วคนอาจจะหลีกเลี่ยงไม่อยากพูดถึงเพราะนัยหนึ่งมันเป็นการสั่นคลอนความมั่นคงในการใช้ชีวิตของเราทุกคนที่เคยชินกันมา ซึ่งอาจเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้โลกร้อน แต่ก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องพูดถึงมันและคุยเรื่องการเปลี่ยนแปลง โครงการสำหรับเยาวชนที่จัดขึ้นในครั้งนี้ เรามาชวนมองมิติวัฒนธรรมจากเรื่องราวความทรงจำของผู้คน เพื่อมุ่งทำความเข้าใจ “พื้นที่” และสภาพอากาศจากที่เคยเป็นมาของผู้คนที่อาศัยอยู่ ในพื้นที่นั้นๆ นานพอที่จะเล่าถึงการเปลี่ยนแปลงได้ และไม่ใช่เพียงแค่รู้ว่าสภาพอากาศเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร แต่ “ความรู้สึก” และการใช้ชีวิตของคนเหล่านั้นเปลี่ยนไปอย่างไร คุณจารุณีกล่าวว่าเป้าหมายคือการ “ศึกษาอดีตเพื่อเห็นการเปลี่ยนแปลงของปัจจุบัน และจินตนาการอนาคตร่วมกัน”

ในส่วนของแง่มุมที่ชวนสังเกตและเก็บข้อมูล อาจรวมถึงความทรงจำที่มีต่อฤดูกาล หรือเทศกาล การใช้พื้นที่ ความสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติ  วิธีการรับมือและปรับตัวของผู้คนผ่านวัตถุวัฒนธรรมในชีวิตประจำวัน สถาปัตยกรรม ที่อยู่อาศัย ชีพจรของย่านที่เป็นไปตามจังหวะเวลาการใช้ชีวิต ความเป็นกลุ่มก้อนและเครือข่ายทางสังคม การสื่อสารประเด็นโลกร้อนในชีวิตประจำวัน กิจกรรมทางสังคมที่ขับเคลื่อนเรื่องโลกร้อน หรือการปกป้องสิ่งที่ได้รับผลกระทบหนัก ตลอดจนบทบาทของสถาบันที่สำคัญในชุมชน เช่น พื้นที่ทางจิตวิญญาณ หรือพื้นที่ศิลปะวัฒนธรรมที่พลังในการสื่อสารและมีอิทธิพลต่อความคิด

คุณจารุณีฝากทิ้งท้ายถึงสองประเด็นสำคัญ ประการแรกคือทุกวันนี้ “เมือง” ต้องเผชิญกับปัญหาหลายอย่าง มิใช่ว่าทุกปัญหาจะเกิดขึ้นจากภาวะโลกร้อนเสมอไป ปัญหาอีกหลายอย่างยังเกี่ยวข้องกับโครงสร้างพื้นฐาน ความเหลื่อมล้ำ ตลอดจนการออกแบบเมืองที่อาจมีส่วนซ้ำเติมให้คนได้รับผลกระทบจากโลกร้อนหนักกว่าที่ควรจะเป็น และประการที่สองคือ “เมือง” ถูกทำให้ดีขึ้นได้ ไม่จำเป็นต้องถูกตีตราว่าเป็นแหล่งปล่อยก๊าซเรือนกระจกเสมอไป เราสามารถจินตนาการถึงเมืองที่ดีกว่านี้ได้ และสุดท้ายแล้วเราต้องไม่ลืมที่จะหันมามองตัวเราเองและสังคมโดยรอบว่าจะสามารถสร้างพลังแห่งการเปลี่ยนแปลงอย่างไรได้บ้าง เสียงจากมิติทางวัฒนธรรมเรียกร้องให้เราคิดว่าอยากจะออกแบบเมืองและวัฒนธรรมของเมืองอย่างไร จะสร้างวัฒนธรรมใหม่ที่เป็นมิตรต่อโลก หรือ “ปัดฝุ่น” วัฒนธรรมดั้งเดิมที่ดีกว่ากลับมาใช้ใหม่ก็ย่อมได้

————————————————————————————————————————

“Culture and Climate Justice in Urban Communities”

This talk was given as an introduction for student participants under the project with the same title on 22 May 2025 at The Siam Society Under Royal Patronage

How can cultural perspectives help us make sense of climate change in cities? In the talk “Culture and Climate Justice in Urban Communities”, Dr Krisada Boonchai (Secretary-General, Local Development Institute) and Ms Jarunee Khongswasdi (Siamese Heritage Trust Manager, The Siam Society) provided an introduction to student participants on the environmental and cultural transformations facing urban communities today.

Dr Krisada began by pointing to the vanishing green spaces in cities like Bangkok, where concrete now dominates the landscape. Cities, once shaped by their natural surroundings, are increasingly disconnected from nature — canals buried under roads, trees boxed in by sidewalks, and neighbourhoods stripped of biodiversity. The example of Khlong Saen Saep — once a vital irrigation system, now reduced to a polluted drain — symbolises this alienation.

Dr Krisada highlighted studies showing that Bangkok’s per capita greenhouse gas emissions exceed global averages, while urban inequality deepens climate vulnerabilities. Not everyone experiences “global warming” the same way—those who engage in outdoor labour, for example, suffer more but often remain invisible in decision-making processes. Urban life has eroded kinship networks, replacing them with isolated routines. Still, Dr Krisada encouraged the idea that shared religious, professional, or historical identities could bring together and strengthen their capacity to adapt.

Honing in on the cultural dimensions of climate adaptation and mitigation, Ms Jarunee explored how cultural perspectives may feel uncomfortable when linked to climate discourse because they challenge our sense of normal life. Yet, culture is key to understanding how people perceive and live with shifts in the climate. Through youth engagement, this project draws on memory, local narratives, and lived experiences to ask not only how the weather and the environment have changed over time, but how people’s emotions and everyday lives have shifted along with it.

Ms Jarunee invited participants to observe and collect memories of seasons and festivals, use of space, natural rhythms, and adaptive practices embedded in the architecture, objects, the ways of life of the communities, and spiritual or cultural institutions. These elements can illuminate the sense of resilience in times of change.

Ms Jarunee then ended the talk with two significant points: First, not all urban problems stem from climate change — many are rooted in inequality and poor planning. And second, cities don’t have to be condemned as climate villains. We can imagine better cities. Reflections on cultural dimensions compel us to consider: what kind of urban culture do we want? Can we build new climate-friendly traditions or reclaim older ones that worked better?