เลือกหน้า

Back to news

6 ตุลาคม 2568

เสวนา หัวข้อ “จากป่า สู่ผืนทราย และทะเลลึก: สิ่งมีชีวิตอื่นๆ กับการปรับตัว (ไม่ทัน) ต่อสภาวะโลกร้อน”

เสวนา หัวข้อ จากป่า สู่ผืนทราย และทะเลลึก: สิ่งมีชีวิตอื่นๆ กับการปรับตัว (ไม่ทัน) ต่อสภาวะโลกร้อน

เมื่อวันศุกร์ที่ 3 ตุลาคม 2568 ที่ผ่านมานี้สยามสมาคมในพระบรมราชูปถัมภ์ โดยแผนกพิทักษ์มรดกสยาม ได้จัดเสวนา หัวข้อ “จากป่า สู่ผืนทราย และทะเลลึก: สิ่งมีชีวิตอื่นๆ กับการปรับตัว (ไม่ทัน) ต่อสภาวะโลกร้อน” โดยเป็นส่วนหนึ่งของเทศกาล Bangkok Climate Action Week 2025 ในเวทีนี้ สมาคมฯ ได้เชิญวิทยากรต่างสาขามาแลกเปลี่ยนบทสนทนา ได้แก่ ดร.เพชร มโนปวิตร นักวิทยาศาสตร์ด้านการอนุรักษ์ ที่ปรึกษาด้านการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ การบริหารจัดการพื้นที่คุ้มครอง และการพัฒนาอย่างยั่งยืน ให้กับองค์กรด้านสิ่งแวดล้อมทั้งในประเทศและระดับนานาชาติ อาจารย์ศศิน เฉลิมลาภ นักวิชาการอิสระจากสาขาธรณีวิทยาที่ผันตนเองมาเป็นนักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม อดีตประธานมูลนิธิสืบนาคะเสถียร ทำงานอนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมตลอดชีวิตการทำงานที่ผ่านมาจวบจนปัจจุบัน และ รศ. ดร. จักรกริช สังขมณี  อาจารย์ภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้เขียนหนังสือมานุษยวิทยามหาสมุทร และมีงานเขียนด้านมานุษยวิทยากับสิ่งแวดล้อมอีกมากมาย

หลักฐานเชิงประจักษ์ของโลกร้อนและวิกฤตนิเวศทางทะเล

ดร. เพชร มโนปวิตร แสดงข้อมูลเชิงประจักษ์จำนวนมากที่บ่งบอกว่าภาวะโลกร้อนนั้นมีอยู่จริง และไม่ใช่

ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นโดดๆ แต่ยังสัมพันธ์กับความเสื่อมโทรมของสภาพแวดล้อมในภาพรวมในช่วง 40-50 ปีที่ผ่านมา งานวิจัยสมัยนี้มักจะยึดกรอบแนวคิดขอบเขตปลอดภัยทางนิเวศ (Planetary Boundaries) เช่น งานที่ตีพิมพ์ในวารสาร Nature ปี 2009 เผยว่าภาวะโลกร้อนไม่ใช่วิกฤตที่รุนแรงที่สุดหนึ่งเดียวของโลก รากของปัญหาคือการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ การรบกวนวงจรสารอาหารจากไนโตรเจน การใช้ปุ๋ยเคมีในภาคเกษตรกรรม และปัญหาขยะพลาสติก ข้อมูลที่ปรากฏใน ค.ศ. 2009, 2015 และ 2023  สะท้อนชัดว่าอาการป่วยของโลกทรุดลงเรื่อยๆ หากพ้นขอบเขตที่ปลอดภัยไปแล้วจะเกิดการเปลี่ยนแปลงที่คาดการณ์ได้ยาก ที่น่าตกใจก็คือระดับคาร์บอนไดออกไซด์ในชั้นบรรยากาศในปัจจุบันอยู่ในระดับที่สูงที่สุดในรอบสองล้านปี แต่ที่น่ากังวลยิ่งว่าคือการเพิ่มระดับในอัตราความเร็วที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

สิ่งเหล่านี้ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศทางทะเลอย่างยิ่งยวด อาจารย์เพชรเล่าถึงความเปราะบางของแนวปะการังว่าปรากฏการณ์ปะการังฟอกขาวครั้งใหญ่เกิดขึ้นมาแล้ว 4 ครั้ง ครั้งล่าสุดมีความรุนแรงและยืดเยื้อยาวนานกว่าครั้งก่อนๆ ในปีค.ศ. 1998 เป็นครั้งแรกที่พบการฟอกขาวของปะการังทั่วโลก ในปี 2010 ปะการังในประเทศไทย โดยเฉพาะในหมู่เกาะสุรินทร์ตายไปถึง 10% ภายในเวลาเพียง 3 เดือน ขณะที่ The Great Barrier Reef สูญเสียปะการังไปกว่าครึ่งหนึ่งในช่วงเวลาเพียง 4 ปี นักวิจัยยังพบว่าจำนวนพะยูนในทะเลอันดามันลดลงอย่างรวดเร็ว จากราว 150–200 ตัว เหลือเพียงหลักสิบ สาเหตุสำคัญคือสภาพอากาศแบบสุดขั้วที่ส่งผลให้ปะการังฟอกขาวและนำไปสู่อัตราการตายของหญ้าทะเลในจังหวัดตรังที่สูงถึง 70-80% หญ้าทะเลเหล่านี้เป็นแหล่งอาหารหลักของพะยูน กรณีของหญ้าทะเลยังสะท้อนให้เห็นความเสื่อมโทรมของระบบนิเวศจากการรบกวนของมนุษย์โดยการปล่อยน้ำเสีย จนนำไปสู่การสูญเสียสัตว์ทะเล เช่น หอยชักตีน ปลิงทะเล เป็นต้น

อาจารย์เพชรให้ความเห็นว่า หากจะสร้าง Roadmap เพื่อการแก้ปัญหา เราจะต้องเปลี่ยนแนวทางให้สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) นำพาให้ตัวชี้วัดเหล่านี้ให้กลับมาอยู่ในขอบเขตปลอดภัย จากผลงานวิจัยของกลุ่ม Think Tank ยุคบุกเบิกอย่าง Club of Rome และ International Panels for Climate Change (IPCC)  ที่แสดงผลสอดคล้องกันว่าหากมนุษย์ยังดำเนินชีวิตในแบบเดิมต่อไป โลกจะถึงทางตันในช่วงปีค.ศ. 2050–2070 เราจะเห็นว่าปัญหาโลกร้อนนั้น เกิดขึ้นท่ามกลางวิกฤตสิ่งแวดล้อมที่สะสมมานาน การแก้ปัญหาจำเป็นต้องดำเนินการควบคู่กับการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพทั้งในระดับโลกและระดับท้องถิ่น ปัจจุบันมีอนุสัญญาต่างๆ เกิดขึ้นมากมาย เช่น อนุสัญญาว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และอนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพที่รวมถึงความหลากหลายทางพันธุกรรม และระบบนิเวศทั้งทางธรรมชาติและกึ่งธรรมชาติ จึงเริ่มมีการดำเนินไปควบคู่กัน อีกแนวทางหนึ่งที่ได้รับความสนใจมากขึ้น คือการแก้ปัญหาโดยอาศัยธรรมชาติเป็นฐาน (Nature-based Solutions) ซึ่งมีหลักคิดอยู่ที่การกลับมาทำความเข้าใจธรรมชาติอย่างแท้จริงเพื่อคืนสมดุลให้กับโลกและระบบนิเวศที่เราล้วนเป็นส่วนหนึ่งในนั้น

 

การสื่อสารเพื่อการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม

จากประสบการณ์ของผู้ที่ทำงานอนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมมาเป็นเวลานาน อาจารย์ศศิน เฉลิมลาภ อดีตประธานมูลนิธิสืบ นาคะเสถียร สะท้อนว่าโลกร้อนไม่ใช่สาเหตุเดียวของการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ โครงการพัฒนาต่างๆ ที่มาจากน้ำมือมนุษย์อาจส่งผลรวดเร็วและรุนแรงกว่านั้น ความท้าทายของงานอนุรักษ์อยู่ที่การสื่อสารกับสังคมและผู้มีอำนาจตัดสินใจในเชิงนโยบาย

อาจารย์เปิดประเด็นด้วยการคัดค้านรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ (Environmental and Health Impact Assessment (EHIA)) ของโครงการเขื่อนแม่วงก์ในอดีต ที่ไม่ได้ศึกษาผลกระทบทั้งทางสิ่งแวดล้อมและทางเศรษฐศาสตร์อย่างจริงจัง มูลนิธิสืบฯ จัดกิจกรรมเป็นเวลาต่อเนื่องหลายปีเพื่อชี้ให้เห็นผลกระทบทางธรรมชาติที่อาจเกิดขึ้นจากโครงการดังกล่าว การเดินเท้าคัดค้าน EHIA ในปี พ.ศ. 2556 เป็นภาพจำของการขับเคลื่อน แม้ไม่ได้ทำให้เกิดชัยชนะในทันที แต่เป็นส่วนสำคัญของการสร้างการรับรู้และเอาชนะใจสาธารณชนในพื้นที่สื่อ ที่กล่าวถึงโครงการเขื่อนแม่วงก์ก็เพราะเป็นเรื่องของสัตว์ป่าโดยตรง คนบางกลุ่มเข้าใจผิดว่าบริเวณพื้นที่เป้าหมายที่จะสร้างโครงการไม่มีสัตว์ป่าหลงเหลืออยู่แล้ว สวนทางกับข้อมูลวิจัยที่พบว่าเสือในไทยส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในผืนป่ารอยต่อที่เชื่อมกับเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง พื้นที่ที่จะสร้างเขื่อนนั้นจึงถือเป็นบริเวณสำคัญสำหรับการขยายพันธุ์ของเสือ ดังนั้นการรักษาพื้นที่นอกเขตห้วยขาแข้งจึงสัมพันธ์กับการอนุรักษ์เสือ แต่การอนุรักษ์ไม่ใช่เรื่องที่เข้าใจง่ายนักสำหรับคนบางกลุ่ม ในขณะที่สังคมโลกชื่นชมคนแบบ Jane Goodall นักอนุรักษ์ชื่อดังที่ศึกษาวานร เธอได้ยกระดับความสนใจเกี่ยวกับแนวคิดว่าด้วยหน้าที่ทางศีลธรรมของมนุษย์ในการปกป้องสิทธิของสัตว์ป่าและธรรมชาติ กระนั้น ฝ่ายนักการเงินและนักพัฒนายังคงตั้งคำถามว่า “หากไม่มีเสือโลกจะแตกไหม?” เป็นคำถามที่ท้าทายมาก ถึงไม่มีคำตอบแต่ยังคงต้องทำตามหน้าที่ ทุกครั้งที่เห็นการปรากฏตัวของเสือหรือแม้แต่ในภาพถ่าย มันสะท้อนผลแห่งความพยายามอนุรักษ์และกลายเป็นสื่อหลักที่เราใช้ขับเคลื่อนประเด็นนี้ต่อไป

อาจารย์ศศินให้ความเห็นว่าการสื่อสารเรื่องโลกร้อนก็เป็นเรื่องที่ท้าทายเช่นกัน แม้จะมีข้อมูลมากมาย มีข้อตกลงต่างๆ เพื่อจำกัดอุณหภูมิโลกไม่ให้เกิน 2 องศาเซลเซียส แต่ในความเป็นจริงสถาการณ์อาจเปราะบางกว่านั้น ประเทศหมู่เกาะหลายแห่งชี้ว่า เพียง 1.5 องศาก็เพียงพอที่จะทำให้เกาะของพวกเขาจมใต้น้ำแล้ว เอกสารของ Greenpeace Thailand อ้างอิงรายงานของ IPCC กว่าสิบปีก่อน ระบุไว้ชัดเจนว่าหากโลกร้อนขึ้นในแต่ละองศาจะส่งผลกระทบกับระบบนิเวศอย่างไรบ้าง เช่น 1 องศา ปะการังจะตาย 3 องศาขึ้นไป ผู้คนจำนวนมากต้องอพยพและแย่งชิงพื้นที่การเกษตรจนอาจนำไปสู่ความขัดแย้งและสงครามได้ สำหรับตัวอาจารย์ศศินเองและมูลนิธิสืบฯ แรงบันดาลใจที่นำมาสู่การขับเคลื่อนประเด็นโลกร้อนมาจากหนังสือ The Sixth Extinction ของ Elizabeth Kolbert ที่อธิบายถึงอัตราการสูญพันธุ์ที่เพิ่มขึ้นพันเท่าและเข้าข่ายการสูญพันธุ์ครั้งที่ 6 ของโลก โดยเชื่อมโยงโลกร้อนกับการสูญพันธ์ุของสัตว์ ในขณะนั้น มีภาพสะเทือนใจที่แพร่หลายคือภาพปลาวาฬในอ่าวไทยที่ตายเพราะกินพลาสติกสอดคล้องกับแนวคิด “มนุษยสมัย” (Anthropocene)” ที่กิจกรรมของมนุษย์มีอิทธิพลสูงสุดต่อระบบนิเวศ และสะท้อนว่าอัตราการสูญพันธุ์นี้ไม่ได้เกิดจากโลกร้อนโดยตรง แต่เป็นเพราะกิจกรรมของมนุษย์เอง การสื่อสารให้เห็นวิกฤตและหายนะที่เกิดขึ้นมีความสำคัญกับการเปลี่ยนพฤติกรรมของมนุษย์

ทางออกของมานุษยวิทยาคือการเสนอมุมมองเพื่อจัดวางตนเองกับมนุษย์ด้วยกันและกับสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ในโลก

รศ. ดร. จักรกริช สังขมณี  ชวนสนทนาต่อว่า เพราะเหตุใดข้อมูลเชิงประจักษ์ที่ชี้ว่าโลกกำลังเผชิญกับ

วิกฤติทางสภาพภูมิอากาศเหล่านี้ ไม่ได้นำไปสู่การปรับวิถีปฏิบัติของมนุษยชาติ คำตอบอาจจะอยู่ที่แนวคิดและมุมมองของมนุษย์ในการจัดวางตนเองกับมนุษย์ด้วยกัน รวมทั้งกับสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ในโลก ในการจัดวางตนเองกับมนุษย์ด้วยกัน เกี่ยวข้องกับความเป็นประชาธิปไตยของความรู้เรื่องโลกร้อน เพราะโลกร้อนเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับคนทุกวงการ ความไม่เป็นกลางทางความรู้มักจะเกิดขึ้นจากการที่มีคนกลุ่มเดียวเป็นผู้ผลิตความรู้และเชื่อว่าถูกต้องที่สุด แต่โลกร้อนสามารถเป็นประชาธิปไตยมากขึ้นได้ด้วยการเปิดโอกาสให้ผู้คนที่หลากหลายเข้ามาสนทนาร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็นนักวิชาการ นักรณรงค์เรื่องสิ่งแวดล้อม นักวิทยาศาสตร์ ศิลปิน และกลุ่มชาติพันธุ์ที่มีความรู้ทางธรรมชาติหรือวิธีการเข้าใจโลกในแบบที่แตกต่างออกไป

ยกตัวอย่าง คำว่า Anthropocene หรือ มนุษยสมัย ที่ถูกหยิบยกมาใช้อย่างแพร่หลาย โดยเฉพาะในทางมานุษยวิทยา แต่เป็นคำในเชิงลบที่ส่อว่านี่คือยุคสมัยที่มนุษยชาติเป็นตัวการที่สร้างการเปลี่ยนแปลงอันเลวร้ายต่อระบบนิเวศจนมีผลในทางธรณีวิทยา ในขณะที่ทางธรณีวิทยาเองยังไม่ยอมรับการจัดหมวดยุคแบบใหม่ที่ว่านี้ คำว่า Capitolocene ก็ถูกนำเสนอขึ้นมาเพื่อจะแย้งว่าเราไม่ควรเหมารวมว่ามนุษยชาติทั้งหมดเป็นตัวการ เราทุกคนก่อผลกระทบต่อโลกไม่เท่ากัน ไม่ใช่นักอนุรักษ์ ไม่ใช่ชาวเกาะ มนุษย์ภายใต้ระบบทุนต่างหากที่สร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงลบต่อระบบนิเวศของโลกมากที่สุด เราจะเห็นการเมืองของความรู้และปัญหาความไม่เห็นพ้องต้องกันอยู่เสมอ ทุกวันนี้ยังมีเทคโนแครตบางกลุ่มที่ออกมาประกาศว่าโลกร้อนไม่มีอยู่จริง หรือความขัดแย้งระหว่างสาขาวิชา แม้แต่คนในสาขาวิชาเดียวกันก็ยังมีการต่อสู้ในเชิงความรู้อยู่เสมอ ความรู้ที่ไม่ใช่วิทยาศาสตร์เริ่มถูกให้คุณค่ามากขึ้นจากที่เคยไม่ถูกนับว่าเป็นความรู้ เช่นการมองว่าภูเขาเป็นบรรพบุรุษ หรือการมองว่าเราใช้แม่น้ำร่วมกับพญานาค ผู้ผลิตวาทกรรมเกี่ยวกับโลกร้อนมักละเลยวิธีการมองโลกที่ไม่สอดรับกับโลกสมัยใหม่แบบตะวันตก

เราจะอยู่กับปรากฏการณ์นี้ และความเห็นที่แตกต่างกันเหล่านี้อย่างไร

คำตอบแรก อาจจะอยู่ที่การเปิดรับความหลากหลายของความเป็นไปได้ ทั้งในการมองปัญหาและการเสนอวิธีการแห่งการอยู่ร่วมกันในอนาคต เช่นเดียวกับการจัดเวทีในวันนี้ การนำพาวิทยากรต่างสาขา 3 คนมาแลกเปลี่ยนซึ่งกันและกัน คำตอบที่สองคือการตระหนักถึงปัญหาของการวางมนุษย์เป็นจุดศูนย์กลางของโลก ซึ่งโยงไปถึงการจัดวางความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ตรงกับที่อาจารย์ศศินกล่าวถึงก่อนหน้านี้ว่า การอนุรักษ์ถิ่นที่อยู่อาศัยของเสือนำไปสู่คำถามของคนบางส่วนในสังคมว่า ถ้าเสือหมดไปจากโลก โลกจะแตกหรือไม่ จะเห็นได้ว่ามนุษย์จะเข้าใจถึงความจำเป็นในการอนุรักษ์ก็เมื่อมีคำตอบว่าสิ่งต่างๆ เป็นประโยชน์ต่อเราอย่างไร และเมื่อเราคิดแบบนั้นเราจะพบเจอกับข้อจำกัดมากมาย หากเราเปลี่ยนวิธีตั้งคำถามเป็นถามว่า เสือมีสิทธิ์หรือไม่ที่จะไม่ถูกทำร้ายเช่นเดียวกับที่มนุษย์ไม่ควรถูกทำร้าย การดำรงอยู่ของสิ่งต่างๆ มีคุณค่าแบบอื่นๆ อีกหรือไม่ที่นอกเหนือไปจากการรับรู้ของมนุษย์เพื่อประโยชน์ของมนุษย์ คำถามแนวนี้เป็นสัญญาณว่าเราเริ่มมอบความเป็นธรรม (environmental justice) ให้กับสิ่งมีชีวิตอื่นๆ เราไม่สามารถเอามาตรวัดของมนุษย์ไปใช้กับสิ่งอื่นๆ ในทุกกรณีได้ เช่น เวลาที่อุณหภูมิของโลกเพิ่มขึ้น 1-2 องศา มนุษย์อาจไม่ยี่หระ แต่สำหรับสัตว์บางชนิดมันคือความเป็นความตาย ในทางมนุษยวิทยาแล้ว การจะเข้าใจความเป็นมนุษย์ของเรา ต้องเริ่มต้นจากการที่เราเปลี่ยนทัศนคติของเราใหม่ทั้งหมดเลย โดยคิดว่าเราเป็นเพียงส่วนหนึ่งของเครือข่ายอันยิ่งใหญ่ของโลกใบนี้ เราต้องอยู่เพื่ออยู่ร่วมไม่ใช่เพื่อปกครอง คำตอบที่สาม คือยอมปล่อยให้ธรรมชาติสอนเรา จากการทำงานภาคสนามใต้ท้องทะเล อาจารย์จักรกริชมองเห็นถึงความเป็นไปได้ใหม่ๆ ของการประกอบสร้างโลกที่มีซากเรือจม ประการัง ซากเรือ สาหร่าย แพลงตอน และสิ่งมีชีวิตเล็กๆ อื่นๆ ที่สร้างระบบนิเวศใหม่ร่วมกัน มันเป็นความสัมพันธ์ที่ไม่ง่ายและเฉพาะเจาะจงมาก แต่ก็เป็นไปได้ ดังนั้น หากเราไม่รู้ว่าจะทำอะไรอย่างไร ก็แค่หันไปถามธรรมชาติดูว่าธรรมชาติจะทำอย่างไร ซึ่งเป็นที่มาของ nature-based solution ปัจจุบันนี้ เรามาถึงจุดที่ตระหนักได้ว่าโลกธรรมชาติกับโลกทางวัฒนธรรมไม่ควรถูกมองแบบแยกขาดออกจากกันอีกต่อไป แม้แต่การเขียนคำสองคำนี้ นักเขียนสมัยใหม่เริ่มเขียน ‘naturalcultural’ เราเริ่มมองว่าสัตว์ก็มีวัฒนธรรมได้เช่นเดียวกัน สัตว์และพืชต่างพยายามปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมของเขาได้ นี่คือ resilience เรื่องเดียวกันกับที่มนุษย์เองก็พยายามที่จะทำ

ก้าวไปข้างหน้าด้วยการเพิ่มความหลากหลายทางชีวภาพ

ดร. เพชร กล่าวว่าในหลายประเทศมีการเปลี่ยนแปลงในเชิงบวกระดับนโยบาย หากพูดถึงการฟื้นตัวของธรรมชาติ ไม่ว่าคน สัตว์ พืช สามารถฟื้นตัวได้ดีภายใต้เงื่อนไขเดียวกันก็คือการมีสุขภาพที่ดีตั้งแต่แรก สุขภาพที่ดีอยู่บนพื้นฐานของการมีแหล่งที่อยู่อาศัยที่ดี และแหล่งที่อยู่อาศัยที่ดีขึ้นอยู่กับการมีอยู่ของสัตว์และสิ่งมีชีวิตต่างๆ ในระบบนิเวศนั้นๆ ที่ Yellowstone National Park มีข้อมูลยืนยันว่าการย้ายถิ่นของหมาป่าส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงของแม่น้ำ แก้ไขได้ด้วยการเอาหมาป่ากลับมา นี่คือแนวคิดแบบ rewilding ยังมีตัวอย่างอื่นๆ อีก เช่น การฟื้นคืนชีวิตให้กับแม่น้ำหลายสายในยุโรป โดยคืนความคดเคี้ยวดั้งเดิมซึ่งจะนำพาตะกอนมาให้ ชะลอการไหลของน้ำ ช่วยสร้างระบบนิเวศย่อยๆ (micro habitat) แม่น้ำหลายสายถูกปรับแต่งให้เป็นทางตรงเพื่อประโยชน์ด้านการขนส่งในยุคอุตสาหกรรมทำไม้ ประเทศในสแกนดิเนเวียฟื้นฟูแม่น้ำโดยนำเอาหินก้อนใหญ่ๆ ถมกลับมาในแม่น้ำเพื่อให้ระบบนิเวศย่อยๆ กลับคืนมา

อาจารย์เพชรเชื่อว่าการแก้ปัญหาที่ใหญ่ระดับโลกอย่างวิกฤติสภาพภูมิอากาศต้องสร้างการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ หากมัวแต่อาศัยการสร้างความตระหนักรู้คงไม่ทันการณ์ จำเป็นต้องพึ่งพากฎเกณฑ์หรือกฎหมาย รวมทั้งกลไกเชิงเศรษฐศาสตร์ หากมองภาพใหญ่ในระดับนานาชาติ เราจะเห็นการตั้งเป้าหมายเพื่อการลงมือปฏิบัติ  เช่น “กรอบความหลากหลายทางชีวภาพโลก คุนมิง–มอนทรีออล” (Kunming–Montreal Global Biodiversity Framework: GBF) ซึ่งเป็นข้อตกลงระดับโลกว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพที่ประเทศภาคีของอนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ (Convention on Biological Diversity – CBD) ได้ร่วมกันรับรองเมื่อเดือนธันวาคม ค.ศ. 2022 ในการประชุม COP15 ที่เมืองมอนทรีออล ประเทศแคนาดา เป้าหมายหลักของกรอบนี้คือสิ่งที่เรียกว่า “30 by 30 target” ภายในปี ค.ศ. 2030 (พ.ศ. 2573) ประเทศต่างๆ จะต้องอนุรักษ์พื้นที่อย่างน้อย 30% ของแผ่นดินและมหาสมุทรของโลก เพื่อรักษาความหลากหลายทางชีวภาพ เป็นเป้าหมายที่ทะเยอทะยานมาก แต่ต่อมาหลายประเทศได้ออกกฎหมายที่ตอบรับเป้าหมายนี้ อย่างในอังกฤษออกบทบัญญัติ “Biodiversity Net Gain” (BNG) ซึ่งกำหนดให้โครงการพัฒนาใหม่ๆ (developments) ต้องแสดงให้เห็นถึงการได้มาซึ่ง ผลประโยชน์ทางชีวภาพสุทธิอย่างน้อย 10% เมื่อเทียบกับสภาพเดิมก่อนดำเนินโครงการ ไม่ใช่อนุรักษ์ให้กลับมาเท่าเดิม แต่ต้องมีเพิ่มมากขึ้น ที่ออสเตรเลียมี Nature Repair Act 2023 เป็นพระราชบัญญัติเพื่อฟื้นฟูซ่อมแซมธรรมชาติ EU เองก็เพิ่งผ่านกฎหมายฟื้นฟูระบบนิเวศ Ecological restoration law 2025 ที่ระบุตัวชี้วัดความหลากหลายทางชีวภาพที่ชัดเจน เช่น ภายในปี ค.ศ. 2030 แม่น้ำในยุโรประยะ 20 กม. ต้องปราศจากสิ่งกีดขวาง นั่นหมายความว่าจะต้องมีการรื้อเขื่อน จำนวนความหลากหลายของนก และผีเสื้อเป็นตัวชี้วัดความหลากหลายทางชีวภาพที่เพิ่มขึ้น

บทส่งท้าย

อาจารย์เพชรเชื่อว่าโลกปัจจุบันมีฉันทามติว่าเราต้องหันกลับมาอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมได้แล้ว คำถามต่อไปคือเราจะอนุรักษ์ให้มากกว่าเดิมได้อย่างไร เพราะตอนนี้เรากำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่ออย่างแท้จริง การตัดสินใจหลายๆ อย่างในช่วงนี้จะส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงที่อาจจะแก้ไขกลับคืนมาไม่ได้ในอีก 50 ปีข้างหน้า เราอยู่ในยุคสมัยที่ยึดเอามนุษย์เป็นศูนย์กลางก็จริง ในแง่ของการอนุรักษ์เราก็ต้องเล่นในเกมส์เดียวกัน เราต้องอธิบายว่าการอนุรักษ์ไม่ใช่ความหรูหรา แต่มันเป็นเรื่องที่จำเป็นและมันจะตอบโจทย์ด้านความเท่าเทียมและสังคมที่ดีขึ้นอย่างไร  

อาจารย์จักรกริชกล่าวเสริมในเรื่องของ rewilding ว่า ตัวอย่างในกรุงเทพฯ ที่ดีที่สุดอันหนึ่งก็คือสวนป่าเบญจกิติ เป็นสวนที่ตั้งใจปล่อยให้รกแบบเป็นธรรมชาติ จนกระทั่งมีงูหลามให้พบเจอได้ ในกรณีที่เราเจอสัตว์แบบงูหลามในสวนสาธารณะ เราจะทำอย่างไร เราจะอยู่ร่วมหรือจะแจ้งคนมาจับงูออกไป หากเรายังมองว่าต้องกำจัดงูออกไป แนวคิด rewilding อาจจะไม่เพียงพอ เราต้องสร้างมโนทัศน์แบบใหม่ขึ้นมาด้วย เป็นมโนทัศน์ที่มองว่าพื้นที่สาธารณะแบบที่มนุษย์และสิ่งมีชีวิตอื่นๆ อยู่ร่วมกันได้เป็นเรื่องปกติ เป็นมโนทัศน์ที่จะเคารพสิทธิ์โดยธรรมชาติของสิ่งมีชีวิตอื่นๆ และเราเข้าใจที่จะอยู่ในโลกนี้ในแบบที่ไม่เหมือนเดิม

อาจารย์ศศินมองว่า ธรรมชาติเสื่อมสลายได้โดยไม่ต้องรอโลกร้อน แต่เพราะฝีมือมนุษย์ ตอนนี้อาจารย์เกษียณแล้วจึงมาอยู่อยุธยาและกำลังสนใจการอนุรักษ์ระบบนิเวศของที่ราบน้ำท่วมถึงของภาคกลางที่ใหญ่เทียบเท่ากับป่าตะวันตกที่อาจารย์เคยดูแล ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่ามันเป็นระบบนิเวศที่กำลังจะตายเพราะการจัดการน้ำของบ้านเรา หลายเรื่องที่โลกร้อนทำอะไรไม่ได้ เพราะมนุษย์ทำลายทุกอย่างไปก่อนแล้ว ตอนนี้สิ่งมีชีวิตที่อยากนำกลับคืนมาที่สุดคือปลาสร้อย เพราะเอามาทำน้ำปลา ที่ผักไห่เคยมีคนทำน้ำปลาปลาสร้อยขาย แต่ตอนนี้ไม่มีแล้ว ในยุคหนึ่งเราสร้างเขื่อน จัดการระบบน้ำเพื่อปลูกข้าว ปัจจุบันทุ่งน้ำท่วมหายไป ปลาไม่มีที่วางไข่ มีแต่พื้นที่น้ำขัง คนอยุธยาถูกขังไว้กับน้ำ แล้วระบบนิเวศที่เราอยากดึงกลับคืนมาจะอยู่ร่วมกับคนปัจจุบันและอนาคตอย่างไร สิ่งที่เราทำได้คงเป็นการบันทึกและส่งต่อความรู้ในสิ่งที่เราเคยรู้ให้คนในวันข้างหน้าเพียงเท่านั้น