มุมมองของรศ. ดร.พิชญ์ พงษ์สวัสดิ์ ในเสวนา “เราจะสร้างกรุงเทพฯ ให้พร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้อย่างไร”
ในวันนี้เราขอนำเสนอสิ่งที่เราได้เรียนรู้จาก รศ. ดร.พิชญ์ พงษ์สวัสดิ์ ในเสวนาหัวข้อ “เราจะสร้างกรุงเทพฯ ให้พร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้อย่างไร” ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเทศกาล Bangkok Climate Action Week 2025 ที่สยามสมาคมในพระบรมราชูปถัมภ์ โดยแผนกพิทักษ์มรดกสยาม ได้จัดขึ้นเมื่อวันศุกร์ที่ 3 ตุลาคม 2568
ทุกวันนี้ภัยพิบัติอยู่ใกล้ตัวเรามากขึ้น แต่บ่อยครั้งเมืองยังไม่ยอมรับว่าเป็นภัยพิบัติ เช่นเหตุการณ์ถนนสามเสนทรุดตัว เปิดเผยให้เราเห็นว่าภายใต้พื้นดินที่เรามองไม่เห็นเต็มไปด้วยท่อจำนวนมาก พื้นดินที่น้ำฝนไม่สามารถซึมผ่านได้ ทั้งภัยพิบัติจากธรรมชาติและไม่ใช่ธรรมชาติสัมพันธ์อย่างแนบแน่นกับโครงสร้างพื้นฐานของเมือง เราพูดถึงเมืองที่ฟื้นตัวได้ (resilience) และการเอาธรรมชาติเข้ามาดูแลเมืองให้มากขึ้น (Nature-base) แต่ในโลกของความเป็นจริงคือเราทำงานกับวิศวกรเป็นหลัก โจทย์ของเราในตอนนี้คือเราจะอยู่ร่วมกับโครงสร้างพื้นฐานเก่าของเมืองที่เคยถูกวางเอาไว้อย่างไร

อาจารย์พิชญ์ชวนให้หันมาทำความเข้าใจคำว่า คำว่า ยั่งยืน (sustainable) และ ฟื้นตัวได้ (resilient) ซึ่งถูกใช้บ่อยๆ ในบริบทของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ทั้งสองคำถูกกล่าวถึงอยู่ใน Sustainable Development Goals ข้อ 11 ว่าด้วยการพัฒนาเมืองและที่ตั้งถิ่นฐานของมนุษย์ให้มีความปลอดภัย ทั่วถึง ฟื้นตัวได้ และยั่งยืน ในทางรัฐศาสตร์ก็มักจะเชื่อมโยงกับคนกลุ่มเปราะบางในแง่ของการเข้าถึงการระบบคมนาคม การมีส่วนร่วม การปกป้องวัฒนธรรมและธรรมชาติ การลดความเสียหายจากภัยพิบัติ คำว่า ‘ยั่งยืน’ หมายถึงว่าทำอย่างไรให้คุณภาพชีวิตของคนรุ่นต่อไปไม่ด้อยลงจากสิ่งที่มีอยู่ในวันนี้ ในขณะที่คำว่า ‘ฟื้นตัว’ ไม่ได้มองไกลขนาดนั้น แค่มองว่าถ้าวันนี้เกิดภัยพิบัติ วันพรุ่งนี้จะกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้อย่างไร เราจะยังมีชีวิตในวันรุ่งขึ้นได้ไหม

การออกแบบมีความสำคัญต่อเมืองที่ยั่งยืนและฟื้นตัวได้ ทุกวันนี้เราคาดการณ์อะไรไม่ได้อีกแล้ว ความรู้ทั่วไปก็ใช้ไม่ได้ เราดูไม่รู้ว่าธรรมชาติจะบอกอะไร ความรู้มากมายที่หายไปจากการที่เราถูกแยกขาดจากธรรมชาติ เราต้องปรับตัวกับความปกติใหม่ เช่น ฝุ่น PM2.5 จะมาในเดือนกุมภาพันธ์ ปลายปีในกรุงเทพฯ อากาศไม่หนาวแล้ว การเลือกที่อยู่อาศัยต้องเลือกว่าแถวไหนน้ำท่วมเท่าไหร่ ถ้าเราต้องออกแบบตึกหรืออาคารขนาดใหญ่ ก็ต้องดูว่าจะปลูกสร้างตรงที่พื้นที่ที่น้ำท่วมน้อย ทั้งหมดนี้คือการปรับเปลี่ยนการรับรู้แพทเทิร์นใหม่ๆ ของอากาศ พร้อมกันนั้นเราต้องคิดไปด้วยว่าเมืองต้องปกป้องรักษาอะไรไว้ เช่น ถ้าจะปกป้องทุนทางธรรมชาติ ก็ไม่ควรจะหยิบไปคำนวนในการพัฒนา โจทย์ที่สำคัญสำคัญการออกแบบ ก็คือเมื่อโครงสร้างพื้นฐานในเมือง เมื่อมันพัง มันกลับมาทำงานได้เร็วแค่ไหน เมืองรับมือต่อสิ่งที่เราคาดการณ์ไม่ถึงได้ดีแค่ไหน โครงสร้างพื้นฐานสัมพันธ์กับระบบสังคมทั้งระบบ ทุกวันนี้ไม่มีใครทราบหรือมีโอกาสทราบได้เลยว่าใต้ชั้นดินของเมืองที่เราอยู่มีอะไรอยู่บ้าง บางครั้งมันอาจจะส่งสัญญาณบอกเราเมื่อมีอันตราย แต่เราอ่านไม่ออกว่าอันตรายกำลังจะเกิดขึ้น

ว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ สิ่งหนึ่งที่สำคัญที่พูดกันน้อยก็คือ ความเป็นธรรมของสภาพภูมิอากาศ (Climate Justice) สภาพภูมิอากาศที่แปรปรวนมันไม่ยุติธรรมต่อเราตั้งแต่จากบนฟ้าลงมา และก็ไม่เป็นธรรมระหว่างผู้คนด้วยกัน เมืองมีระบบที่ทับซ้อนกันหลายระบบ ระบบนิเวศ ระบบการเมืองและสังคมที่เสียงของคนตัวเล็กตัวน้อยไม่มีใครได้ยิน องค์กรทางสังคม โครงสร้างพื้นฐาน การเงิน และเทคโนโลยี ดูแลกลุ่มเปราะบางอย่างไร บางครั้งเรามองว่าเราทำอะไรเยอะ แต่สิ่งเหล่านั้นเข้าไปถึงชุมชนหรือเปล่า ปัญหาโลกร้อนและฝุ่นควันที่เราเจอกันทุกคน แต่ความหนักเบาไม่เท่ากัน บางคนได้รับผลกระทบมากขึ้น เพราะมีบางคนพยายามที่จะได้รับผลกระทบน้อยลง เช่น คุณติดแอร์เพิ่มขึ้น แต่ความร้อนจากแอร์มันเป่าลงไปในพื้นที่ของคนที่เขานั่งรถเมล์ร้อนอยู่ข้างนอก มันเกิดปัญหาในการแก้ปัญหา ความยั่งยืนและการฟื้นตัวที่เราพูดถึงอาจจะยังไม่ได้โอบรับทุกคนเอาไว้ด้วยกัน บางคนรับมือและปรับตัวได้ง่าย แต่คนในชุมชนแออัดจะปรับตัวอย่างไร จากคลิปวิดีโอสั้นของสยามสมาคมฯ เมื่อสักครู่ ชาวบ้านสะท้อนว่าต้องมีพัดลมเพิ่มกี่ตัว ค่าแอร์เท่าไหร่ รวมไปถึงค่าน้ำค่าไฟ ความจนมันทำให้เขาแบกภาระที่ต้องทนมากกว่าเรา ทั้งการเผชิญกับความร้อนจากอาคารสูงที่อยู่รอบตัว และความเปราะบางในกรณีที่ไม่มีสิทธิ์ในที่อยู่อาศัย ความเสี่ยงในการถูกไล่ที่ การที่อาจจะต้องย้ายไปอยู่ไกลจากที่ทำงานมากกว่าเดิม นี่คือชีวิตที่ไม่ง่ายของกลุ่มคนที่เปราะบางในวิกฤตการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ

ประเด็นน่าสนใจที่อาจารย์พิชญ์ชวนคิดเรื่องการใช้ธรรมชาติเป็นพื้นฐานในการแก้ปัญหา (Nature-based solution) ก็คือ เราจะทำแบบที่เข้าใจธรรมชาติจริงๆ หรือว่ายังเชื่อแบบเดิมว่าจะเอาธรรมชาติมารับใช้เรา ถ้าเป็นแบบที่สองแปลว่าเรายังเชื่อว่าจะจัดการธรรมชาติได้ แต่ตอนที่เราพูดถึงการฟื้นตัว เราเชื่อว่าเราจัดการธรรมชาติไม่ได้ เราต้องถอยและปรับตัวตามธรรมชาติให้มากขึ้น แต่เรารู้เรื่องธรรมชาติมากแค่ไหน ข้อสังเกตของอาจารย์พิชญ์ก็คือ คนจำนวนมากในเมืองไม่มีความรู้เรื่องธรรมชาติ เมืองที่ก้าวหน้าทั้งหลายในโลกต่างก็ให้ความสำคัญกับประวัติศาสตร์ธรรมชาติ พวกเขาสร้างพิพิธภัณฑ์ธรรมชาติวิทยา (Natural History Museum) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยก็มีพิพิธภัณฑ์ธรรมชาติวิทยา เพียงแต่ว่ามันกลายเป็นพื้นที่เพื่อการศึกษาแบบอยู่ในมหาวิทยาลัย เมืองที่ดีจะพยายามสอนให้คนของเขาเข้าใจธรรมชาติ รู้จักพันธุ์ไม้ในเมืองของตัวเอง เมื่อเข้าใจแล้วก็จะสังเกตสิ่งรอบตัวได้ว่าอะไรเปลี่ยนแปลงไป