เลือกหน้า

Back to news

25 พฤศจิกายน 2568

มุมมองของคุณอรยา สูตะบุตร ใน เสวนา “เราจะสร้างกรุงเทพฯ ให้พร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้อย่างไร”

เมื่อวันศุกร์ที่ 3 ตุลาคม 2568 ที่ผ่านมา สยามสมาคมในพระบรมราชูปถัมภ์ โดยแผนกพิทักษ์มรดกสยาม ได้จัดเสวนา หัวข้อ “เราจะสร้างกรุงเทพฯ ให้พร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้อย่างไร” โดยเป็นส่วนหนึ่งของเทศกาล Bangkok Climate Action Week 2025 สมาคมฯ ได้เชิญวิทยากรสาขาต่างๆ เช่น นักผังเมือง นักออกแบบพื้นที่สีเขียวอย่างมีส่วนร่วม และภูมิสถาปนิก ให้มาร่วมสำรวจเมืองกรุงเทพฯ ไปด้วยกัน ในวันนี้เราขอนำเสนอสิ่งที่เราได้เรียนรู้จาก คุณอรยา สูตะบุตร ผู้ร่วมก่อตั้งกลุ่ม ‘Big Trees’ ในการเสวนาเรื่องเมืองยืดหยุ่น

คุณอรยาเล่าถึงที่มาและภารกิจของกลุ่ม Big Tree ที่ได้ริเริ่มกว่า 15 ปีที่แล้ว มีเป้าหมายในการดูแลรักษาต้นไม้ใหญ่ของเดิมให้แข็งแรง สวยงาม และปลอดภัย ประธานมูลนิธิคืออาจารย์ศาสตราจารย์กิตติคุณ เดชา บุญค้ำ เป็นผู้ที่คิดค้นคำว่า “รุกขกร” (arborist) หรือผู้มีความรู้เกี่ยวกับการดูแลจัดการต้นไม้ใหญ่ เรียกง่าย ๆ ว่าเป็นหมอต้นไม้  กลุ่ม Big Tree ทำงานร่วมกับ กทม. เป็นหลักมากว่า 10 ปี  ซึ่งตอนนี้ในกรุงเทพมีรุกขกรอยู่ราว 30 กว่าคน และมีการตั้งนโยบายจากผู้ว่าชัชชาติให้เพิ่มจำนวนให้ครบ 50 คน ภายในปีหน้า 

จากวิกฤตสภาพแวดล้อมที่ทำให้ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติทวีความรุนแรงขึ้น เช่น ฝุ่นที่เพิ่มมากขึ้น อากาศที่ร้อนขึ้น ลมที่แรงแบบที่ไม่เคยพบเจอมาก่อน หรือปริมาณของฝนที่อาจจะตกสั้นลงแต่ตกหนักมาก ทำให้เราเห็นต้นไม้ใหญ่ในเมืองล้มบ่อยครั้ง เกิดเป็นปัญหาภัยอันตราย ในความเป็นจริง หากต้นไม้แข็งแรงแล้วมีพื้นที่ให้ยืนเพียงพอ ไม่ถูกบีบจากโครงสร้างหรือพื้นที่ดาดแข็งต่างๆ  ต้นไม้จะช่วยลดความแรงของลมลงได้ และนอกจากจะช่วยลดอุณหภูมิแล้ว ยังทำให้พื้นที่มีเสถียรภาพในการซึมซับน้ำเพิ่มขึ้น แทนที่น้ำจะเอ่อขึ้นและกลายเป็นน้ำท่วม ตัวอย่างเหล่านี้สะท้อนว่าต้นไม้มีคุณค่าทั้งในทางนิเวศวิทยา ด้านความสวยงาม เศรษฐศาสตร์ และสุขภาพของเมือง 

การทำงานของกลุ่ม Big Tree ครอบคลุมการเก็บข้อมูล การวิเคราะห์สุขภาพของต้นไม้ มีมืออาชีพที่คอยดูแลอย่างสม่ำเสมอ ซอฟต์แวร์ TreePlotter ช่วยในการตรวจเก็บข้อมูลสุขภาพต้นไม้เพื่อประกอบการประเมินสุขภาพของแต่ละต้น มีการร่วมมือกันของหลายๆ พันธมิตรองค์กร ตั้งแต่กทม. ไปถึงสถาบันรุกขกรรมไทย ทั้งมืออาชีพและอาสาสมัคร

คุณอรยายกตัวอย่างการฟื้นฟูต้นจามจุรีต้นใหญ่ในสวนเบญจกิตติ สภาพของต้นจามจุรีก่อนที่กลุ่ม Big Tree จะเข้าไปดูแล เขาทิ้งใบเกือบจะทั้งต้น นับว่าผิดปกติมาก ในเคสนี้อาจเกิดจากการก่อสร้าง การถมดินสูงเกินไปในบริเวณใกล้ๆ ทำให้ระบบรากไม่แข็งแรง รุกขกรจึงใช้อุปกรณ์ต่างๆ ทำให้ต้นจามจุรีฟื้นขึ้นมาแตกใบได้อีกครั้ง จากกรณีดังกล่าว สะท้อนว่า ถ้ามีความเอาใจใส่ดูแลต้นไม้ใกล้ชิดเสมือนเป็นญาติของเรา เราเห็นสัญญาณที่ต้นไม้ส่งว่าไม่ค่อยแข็งแรง แทนที่จะรีบโค่นทิ้ง เรายังสามารถช่วยชีวิตเขาได้ทัน ต้นไม้เหล่านั้นจะกลับมาดูแลสุขภาพสังคมและเมืองของเราได้

ทั้งนี้ การทำงานจัดการเมือง ต้นไม้ และพื้นที่สีเขียว เช่นโครงการปรับปรุงทางเท้าถนนสีลมที่เปิดใช้งานเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ยังต้องการการมีส่วนร่วมจากทุกฝ่าย ทั้ง กทม. พาร์ทเนอร์ภูมิสถาปนิก และสำนักโยธาฯ ซึ่งถือว่าเป็นประสบการณ์ใหม่สำหรับกลุ่ม Big Tree เองที่ก่อนหน้านี้ทำงานกับสำนักสิ่งแวดล้อม และสำนักสวนสาธารณะเป็นส่วนใหญ่ รุกขกรได้เข้าไปสำรวจต้นไม้รายต้น เพื่อหาวิธีการปรับปรุงพื้นที่ที่ต้นไม้ยังพอจะมีอยู่ และยังให้อรรถประโยชน์กับคนในเมืองได้ ขณะนี้มีแผนการที่จะนำวิธีการดังกล่าวมาใช้กับย่านอื่นๆ เช่น ทางเท้าในย่านอโศก-สุขุมวิทด้วย

คุณอรยาอธิบายถึงข้อกังวล หลัก 3 อย่างของการดูแลต้นไม้ใหญ่ อย่างแรก คือดินที่แน่นเกินไปจนรากแทงไม่ลง น้ำซึมผ่านไม่ได้ นอกจากจะทำให้เกิดน้ำเอ่อและรากโป่งขึ้น รากก็ดูดซับน้ำ แร่ธาตุอาหาร หรืออากาศไม่ได้ เมื่อรากโป่งก็ทำให้เกิดอุปสรรคในการเดินและต้องซ่อมแซมทางเท้าบ่อย ปัญหาที่สองคือต้นไม้หักโค่นที่จะกลายเป็นอันตรายต่อคนเดินเท้า ปัญหาที่สามคือ สารเคมีที่ทำให้ดินเสื่อม สารพิษตกค้าง และเป็นอันตรายต่อมนุษย์ สิ่งเหล่านี้ดูเป็นเรื่องของรายละเอียด แต่ก็มีความสำคัญถึงชีวิต และถ้าเราอยากให้ต้นไม้อยู่ไปนานๆ ก็จำเป็นที่จะต้องออกแรง สร้างความเข้าใจ ลงทุนทั้งทรัพยากร ทั้งความรู้ และการใส่ใจ

หนึ่งในวิธีการปรับใช้ Nature-based solution มาแก้ปัญหาเหล่านี้มาจากพาร์ทเนอร์ บริษัท Toho Leo ที่ออกแบบนวัตกรรมจากการมีส่วนร่วมจากรุกขกรและวิศวกร โดยวัสดุที่เรียกว่า JMIX หรือดินโครงสร้าง (structural soil) เป็นดินลักษณะก้อนผสมลงไปกับวัสดุบำรุงดินต่าง ๆ ทำให้รากของต้นไม้อยู่ได้ มีความพรุน สามารถรับน้ำในปริมาณมากได้ ดินโครงสร้างนี้ยังมีส่วนช่วยเรื่องการจัดการผลกระทบของโลกร้อนได้ด้วย จากส่วนผสมของดินจากถ่านชีวภาพ (Biochar) โดยมีเทคนิคการเผาแบบพิเศษที่ทำให้เกิดควันน้อยมาก สิ่งที่ได้มากลายเป็นฟองน้ำอย่างดี สำหรับนำไปหมักกับสารชีวภาพ ปุ๋ยหมัก ปุ๋ยอินทรีย์ หรือน้ำหมัก

Biochar จะมีรูพรุนเล็ก ๆ อยู่ในตัวมากมาย เมื่อรุกขกรไปตัดแต่งต้นไม้ สามารถนำเศษซังข้าวโพด เปลือกทุเรียน เปลือกมังคุดที่จัดการยากไปเผาโดยเตาแบบพิเศษนี้ เอากลับไปฝังลงในดินและบำรุงดินและกักเก็บคาร์บอนลงในดิน เป็นแนวทางหนึ่งที่จะลดผลกระทบของโลกร้อนได้ วัสดุต่างๆ พอดูดซับสารอินทรีย์ แร่ธาตุสำหรับต้นไม้ ฟองน้ำที่ดูดซับไว้นานแล้ว ก็จะค่อยๆ ปล่อยออกมา สร้างสมดุลในดินได้เป็นเวลานาน ดิน Biochar ยังถูกนำไปทดลองโดยการฝังไว้ในทะเลริมชายฝั่งเพื่อใช้ดูดซับสารปนเปี้อน เท่ากับว่าคาร์บอนที่ลอยอยู่ในอากาศ พอกลายสภาพไปเป็นก้อนแข็งแล้วสามารถนำไปฝังลงดินใต้ทะเลได้

ด้วยความร่วมมือจากบุคลากรของ กทม. กับผู้เชี่ยวชาญด้านดินจากประเทศญี่ปุ่น มีการวิเคราะห์ตรวจสภาพดินและออกแบบสูตรสำหรับดินที่ประเทศไทย กว่าจะเห็นผลที่ชัดเจนอาจต้องรออีกประมาณหกเดือนถึงหนึ่งปี ซึ่งรุกขกรจากญี่ปุ่นชี้ว่าสิ่งที่จะสังเกตได้อย่างแรกสุดคือการที่มีใบใหม่ผลิออกมามากขึ้น รากไม้ไม่ปูด การทำงานครั้งนี้ยังทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนความรู้ในการดูแลรากของต้นไม้ เช่น ความพิถีพิถันของรุกขกรญี่ปุ่นที่สมานแผลรากแทนที่จะดึงออก เพื่อให้ยังเป็นรากที่มีชีวิตและสามารถแตกหน่อเพิ่ม วิธีการนี้เป็นที่น่าตื่นตาตื่นใจของผู้อยู่อาศัยบริเวณนั้นและเจ้าหน้าที่หลายๆ ท่าน

อีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญคือการสร้างพื้นที่ซึมน้ำในเมือง เช่น ทางเท้าของเมืองโคเปนเฮเกน ที่มีโครงสร้างสำหรับการกักเก็บน้ำ แล้วเอาน้ำที่กักเก็บไว้ไปบำบัดเพื่อกลับมาใช้ได้อีก  ใน กทม. มีตัวอย่าง เช่น สวนสาธารณะเบญจกิตติ และสวนเฉลิมพระเกียรติบางบอน คุณอรยาฝากแนวคิดที่ว่าเรายังคงต้องอยู่กับมวลน้ำที่มีแนวโน้มจะเพิ่มมากขึ้นด้วย แทนที่จะเอาน้ำไปทิ้งหรือทำกำแพงทึบต่างๆ เราจะต้องเปลี่ยนความคิดเพื่อที่จะอยู่ร่วมกับน้ำได้