เลือกหน้า

Back to news

16 ธันวาคม 2568

มุมมองของคุณธัชพล สุนทราจารย์ กรรมการสมาคมภูมิสถาปนิกประเทศไทย ในเสวนา “เราจะสร้างกรุงเทพฯ ให้พร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้อย่างไร”

ในเสวนา “เราจะสร้างกรุงเทพฯ ให้พร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้อย่างไร” ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเทศกาล Bangkok Climate Action Week 2025 ที่สยามสมาคมในพระบรมราชูปถัมภ์ โดยแผนกพิทักษ์มรดกสยาม ได้จัดขึ้นเมื่อวันศุกร์ที่ 3 ตุลาคม 2568

คุณธัชพล สุนทราจารย์ กรรมการสมาคมภูมิสถาปนิกประเทศไทย ผู้ร่วมก่อตั้งและกรรมการบริหาร บริษัท แลนด์สเคปคอลาบอเรชัน จำกัด ได้มาแบ่งปันประสบการณ์และแนวคิดเรื่องการออกแบบเมืองยืดหยุ่นด้วยงานภูมิสถาปัตยกรรมไว้อย่างน่าสนใจมาก

กรุงเทพฯ สมัยนี้หาชุมชนที่ยังพึ่งพาแม่น้ำได้ยากมาก ทัศนียภาพดั้งเดิมของกรุงเทพฯ ฝั่งธนบุรียังพอมีให้เห็น วัดเก่าๆ ในแถบชานเมืองยังหันหน้าเข้าหาแม่น้ำลำคลอง บริเวณริมแม่น้ำท่าจีน หรือแม่น้ำเจ้าพระยา แถวบางกะเจ้ายังมีพันธุ์ไม้ชายน้ำขึ้นเป็นทัศนียภาพดั้งเดิมอยู่ คลองอ้อมนนท์ยังมีตลิ่งที่ลาดลงไปในแม่น้ำ (Slope) จะเป็นที่ที่มีความหลากหลายของพันธุ์ไม้ มีทั้งลำพู ยางนา จาก กก และอื่นๆ

ขอบริมตลิ่งมีทั้งแบบที่เป็นขอบแข็งและขอบธรรมชาติ เราเลือกได้ว่าจะทำแบบไหน แต่การที่เราจะรักษาขอบธรรมชาติ เราก็ต้องยอมถอยหน่อย ยอมให้น้ำไหลเข้ามาที่ตลิ่ง แต่ในกรุงเทพฯ เราใช้แม่น้ำลำคลองเพื่อระบายน้ำเป็นหลัก ตรงนี้ทำให้เกิดการปฏิเสธพื้นที่ชีวิตหลายอย่าง น้ำในคลองแห้งลง การใช้พื้นที่ธรรมชาติเปลี่ยนไป ปัจจุบันเราก็ยังทำเขื่อน ทำพนังกั้นน้ำเพื่อที่จะสู้กับธรรมชาติ 

กรณีศึกษาที่แสดงทัศนคติที่เรายอมถอยให้กับน้ำ เช่น ที่พาสาน อาคารสัญลักษณ์ต้นน้ำเจ้าพระยา จังหวัดนครสวรรค์ ระดับน้ำหน้าแล้งกับหน้าน้ำหลากต่างกันถึง 9 เมตร พื้นที่ฝั่งตรงข้ามทำเขื่อนสูง 9 เมตร แต่ถ้าเราออกแบบโดยยอมรับการเปลี่ยนแปลงของฤดูกาล เราสามารถทำให้เห็นปรากฏการณ์น้ำขึ้นน้ำลงว่ามันนำพาให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างไร สนามหญ้าสามารถใช้เป็นที่ทำกิจกรรมได้ พอมาถึงฤดูน้ำหลากก็จะเกิดเป็นปรากฏการณ์ที่น่าสนใจอีกแบบหนึ่ง เป็นการปรับตัวและฟื้นตัวได้ตามฤดูกาล (Resilience) เมื่อเรายอมรับและปรับเปลี่ยน ไม่สู้กับน้ำ เรารู้ว่าน้ำต้องขึ้นต้องลงและตอบรับกับสภาพนั้น เราก็จะได้ทัศนียภาพหลายแบบ 

คุณธัชพลปรับใช้แนวคิดนี้กับโครงการคอนโดมิเนียม บนถนนพระราม 3 หลักการคือยอมให้มีน้ำขึ้นน้ำลงในพื้นที่ แต่ยังคงมีเขื่อนเพราะเป็นเรื่องของความปลอดภัยของทรัพย์สิน โดยทำความสูงที่ระดับน้ำเฉลี่ย ไม่ใช่ระดับน้ำสูงสุด เพราะต้นลำพูจะอยู่ได้ต้องมีน้ำขึ้นน้ำลง ใช้ต้นเหงือกปลาหมอกับลำพูปลูกสลับกัน เหงือกปลาหมอช่วยกันขยะ ที่ญี่ปุ่นก็ใช้วิธีการทำขอบตลิ่งสองชั้นเช่นกัน คือมีขอบที่ระดับน้ำปกติ พอถึงฤดูน้ำท่วมน้ำสามารถเอ่อล้นออกมาได้ น้ำจะล้นเป็นช่วงๆ ไม่ใช่ล้นตลอดเวลา ส่วนเวลาที่น้ำแห้งเราก็มีพื้นที่นันทนาการ เป็นการเพิ่มพื้นที่รับน้ำของเมืองได้ และเพิ่มประโยชน์ของงานภูมิทัศน์ 

ในส่วนของทางเท้า คุณธัชพลได้ทำงานร่วมกับศูนย์ออกแบบและพัฒนาเมือง (Urban Design and Development Center – UddC) ทำเรื่องของทางเท้าบนถนนสุขุมวิท การเพิ่มต้นไม้ การเพิ่มพื้นที่ซึมน้ำ ขอบเขตพื้นที่โครงการทำครอบคลุมตั้งแต่นานาไปจนถึงบางนา โดยมองว่าทำอย่างไรให้ทางเท้ามีอรรถประโยชน์หรือมีมิติอื่นๆ มากกว่าเป็นแค่ทางเท้าอย่างเดียว มีการศึกษาของมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ที่ทำไว้อย่างละเอียด โดยศึกษาว่าทรงพุ่มของต้นไม้สัมพันธ์กับอุณหภูมิหรือไม่อย่างไร เราน่าจะคิดกันว่ามันเป็นไปได้ไหมที่ทางเท้าจะทำหน้าที่อย่างอื่น เช่น เป็นพื้นที่สีเขียว เพิ่มพื้นที่ซึมน้ำได้ เก็บกักน้ำได้ โดยใช้ข้อมูลรายการพันธุ์ไม้พื้นถิ่นของกรุงเทพฯ อย่างเช่นโครงการ TreePlotter ที่คุณธัชพลทำ เสนอให้ถอนบล็อก 4 แผ่น นับจากริมถนนออกมา แล้วเสริมต้นไม้เข้าไป เพิ่มสีเขียวเข้าไปทั้งฟุตบาทและเกาะกลาง เพื่อให้เกิดการดูดซับความร้อนได้ดีขึ้น เลือกใช้พันธุ์ไม้ที่มีคุณสมบัติในการดักฝุ่น คือมีใบหยาบ ใบละเอียด และทรงพุ่มแน่น เพื่อให้สามารถดักฝุ่น pm 2.5-10 ไมครอนได้ ทาง กทม. เองกำลังค่อยๆ นำไปใช้ในแต่ละส่วน

ตัวอย่างของโครงสร้างพื้นฐานที่เก็บกักน้ำได้ เช่น สำนักงานใหญ่ของ SCG สาระสำคัญของโครงการก็คือเรื่องของการจัดการน้ำ การทำองค์ประกอบส่วนหน้าของอาคาร (Facade) ให้สามารถเก็บน้ำได้หมด มีสวนลอยฟ้า (Roof garden) ที่ดีไซน์ให้หน่วงน้ำไว้แล้วกรองอยู่ที่ก้นของ Planter ก่อนที่จะค่อยๆ ล้นออก น้ำทั้งหมดนำมาเก็บไว้ในถังเก็บน้ำใต้ดิน นำมาใช้ในการรดน้ำต้นไม้ แล้วกรองเพื่อช่วยบำบัดน้ำก่อนปล่อยลงน้ำ เป็นตัวอย่างของโครงการเชิงพาณิชย์ที่ทุกบ้านสามารถทำได้

Dusit Central Park เป็นอีกโครงการหนึ่งที่เพิ่มพื้นที่สีเขียวแนวตั้ง นอกจากคุณประโยชน์เรื่องของการลดความร้อนของเมือง เช่นเดียวกับที่ทางเท้าเป็นได้มากกว่าทางเท้า สวนลอยฟ้าก็สามารถตอบโจทย์เรื่องอื่นด้วย เช่น เรื่องของนิเวศบริการของสวนลอยฟ้า และการเข้าถึงได้โดยสาธารณะ ดุสิตธานีตั้งอยู่ตรงข้ามสวนลุมพินี มีการเชื่อมต่อทางสายตาให้ไหลไปเป็นเรื่องเดียวกัน และสามารถเชื่อมต่อกิจกรรมบางอย่างจากสวนลุมพินี ไปถึงสวนลอยฟ้าได้ ดังนั้น เพื่อให้มีการใช้งานที่เชื่อมต่อตัวอาคารได้หลายชั้น ภูมิสถาปนิกเข้าไปช่วยแก้ปัญหาให้โดยเสนอว่าทำเป็นทางลาดเหมือนเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติ และให้ทั้งหมดเป็นอารยสถาปัตย์ (Universal Design)  ใช้งานได้ทุกเพศทุกวัย ผู้ที่ใช้รถเข็นสามารถเข้าถึงได้ เรื่องของระบบนิเวศ มีความพยายามที่จะสร้างสังคมพืชขึ้นมา เป็นระบบนิเวศที่มีเรือนยอดหลายๆ ชั้น มีพันธุ์ไม้หลากหลายตั้งแต่ต้นไม้ที่มีเรือนยอดสูงเกิน 15 เมตร มีต้นที่อยู่ต่ำลงมา มีไม้พุ่มทรงสูง และระดับที่อยู่ล่างๆ ไม้ทุกระดับมีความสำคัญสำหรับการเกิดสังคมพืชที่สมบูรณ์

การเลือกพันธุ์ไม้เป็นเรื่องที่สำคัญ โครงการของคุณธัชพลพยายามจะทำระบบนิเวศที่มีความเป็นกรุงเทพฯ ดั้งเดิม โดยอ้างอิงจากหนังสือ พรรณไม้ในวรรณคดีสุนทรภู่ เขียนโดย รองศาสตราจารย์ วิยดา เทพหัตถี ที่รวบรวมพันธุ์ไม้พื้นถิ่นดั้งเดิมเอาไว้ เช่น กุ่มน้ำ มะกอกน้ำ ที่เชื่อว่าเป็นที่มาของชื่อบางกอก พืชเหล่านี้ คิดว่าปลูกแล้วน่าจะดูแลง่ายเพราะอยู่ในภูมิประเทศดั้งเดิม นอกจากจะได้ความสวยงามตามทัศนียภาพดั้งเดิมแล้ว ยังคำนึงอรรถประโยชน์ต่างๆ ด้วย เช่น การดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ การช่วยเพิ่มออกซิเจน การให้ร่มเงาได้ดี ดูดซับฝุ่น ดึงดูดแมลง ผึ้งชันโรง และผีเสื้อต่างๆ เพื่อให้เกิดเป็นระบบนิเวศขึ้นจริง

แนวคิดเหล่านี้สามารถสร้างให้เป็นจริงได้ แต่มันหมายถึงการยอมถอยให้กับน้ำ ประเด็นสำคัญก็คือเราจะยอมถอยกันจริงๆ หรือเปล่า 

ขอบคุณภาพประกอบจาก บริษัท แลนด์สเคปคอลาบอเรชัน จำกัด